วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การเขียนสตอรี่บอร์ด (Storyboard)

ความหมายของสตอรี่บอร์ด (Story Board)


          สตอรี่บอร์ด (Story Board) คือ การเขียนกรอบแสดงเรื่องราวที่สมบูรณ์ของภาพยนตร์หรือหนังแต่ละเรื่อง โดยมีการแสดงรายละเอียดที่จะปรากฏในแต่ละฉากหรือแต่ละหน้าจอ เช่น ข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี เสียงพูดและแต่ละอย่างนั้นมีลำดับของการปรากฏว่าอะไรจะปรากฏขึ้นก่อน-หลัง อะไรจะปรากฏพร้อมกัน เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่ละหน้าจอก่อนที่จะลงมือสร้างเอนิเมชันหรือ หนังขึ้นมาจริงๆ
  • Storyboard คือ การสร้างภาพให้เห็นลำดับขั้นตอนตามเนื้อเรื่องที่ต้องการ โดยเฉพาะภาพเคลื่อนไหว
  • รายละเอียดที่ควรมีใน Storyboard ได้แก่ คำอธิบายแต่ละสื่อที่ใช้ (ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิโอ)


หลักการเขียนสตอรี่บอร์ด

          รูปแบบของสตอรี่บอร์ด จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนภาพกับส่วนเสียง โดยปกติการเขียนสตอรี่บอร์ด ก็จะวาดภาพในกรอบสี่เหลี่ยม ต่อด้วยการเขียนบทบรรยายภาพหรือบทการสนทนา และส่วนสุดท้ายคือการใส่เสียงซึ่งอาจจะประกอบด้วยเสียงสนทนา เสียงบรรเลง และเสียงประกอบต่างๆ

สิ่งสำคัญที่อยู่ภายในสตอรี่บอร์ด ประกอบด้วย
- ตัวละครหรือฉาก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่หรือตัวการ์ตูน และที่สำคัญ คือ พวกเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างไร
- มุมกล้อง ทั้งในเรื่องของขนาดภาพ มุมภาพและการเคลื่อนกล้อง
- เสียงการพูดกันระหว่างตัวละคร  มีเสียงประกอบหรือเสียงดนตรีอย่างไร

ข้อดีของการทำ Story Board

1. ช่วยให้เนื้อเรื่องลื่นไหล เพราะได้อ่านทวนตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะลงมือวาดจริง
2. ช่วยให้เนื้อเรื่องไม่ออกทะเล เพราะมีแผนการวาดกำกับไว้หมดแล้ว
3. ช่วยกะปริมาณบทพูดให้พอดีและเหมาะสมกับหน้ากระดาษและบอลลูนนั้น ๆ
4. ช่วยให้สามารถวาดจบได้ในจำนวนหน้าที่กำหนด (สำคัญสุด!)

ที่มา : https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard

มุมกล้องในการถ่ายภาพยนตร์

          มุมกล้อง หมายถึง ทิศทางที่ตั้งของกล้องกับวัตถุที่ถูกถ่าย ประกอบด้วยมุมหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. มุมกล้องแบบ ออบเจกทีฟ (Objective Camera Angle)
ลักษณะมุมกล้องนี้ ทำให้ผู้ดูได้เห็นภาพโดยตรงจากเลนส์กล้อง ซึ่งจะทำหน้าที่เสมือนตาผู้ดู

2. มุมกล้องแบบ ซับเจกทีฟ (Subjective Camera Angle)
มุมกล้องลักษณะนี้ใช้กล้องแทนผู้ดู ทำให้ผู้ดูเป็นเสมือนผู้แสดงที่กำลังอยู่นอกจอ ผู้แสดงจะมองหรือพูดกับเลนส์กล้อง ทำให้รู้สึกว่าผู้แสดงในจอมองหรือพูดกับผู้ดูโดยตรง ทำให้ผู้ดูรู้สึกว่า เข้าไปมีส่วนร่วมใน ภาพยนตร์เรื่องนั้น

3. มุมกล้องแบบ พอยต์ ออฟ วิว (POV,Point of view camera angle)
มุมกล้องลักษณะนี้ผู้กำกับจะให้ผู้ดูเห็นภาพเหตุการณ์จากสายตาของผู้แสดงอีกทีหนึ่ง ผู้ดูจะเห็นผู้แสดงจากมุมกล้องออบเจกทีฟ (Objective Camera Angle) และเห็นภาพที่ผู้แสดงเห็นจากมุมกล้องพอยต์ ออฟ วิว (POV,Point of view camera angle) ตัวอย่างเช่น ภาพแรกผู้ดูเห็นภาพเฮลิคอปเตอร์บินเหนือกรุงเทพ แล้วตัดภาพไปที่คนขับมองลงมาข้างล่าง แล้วตัดเป็นภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ภาพการจราจรในกรุงเทพ เป็นภาพจากมุมกล้องพอยต์ ออฟ วิว ของคนขับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์

4. มุมที่ผู้กำกับกำหนดขึ้นเอง (Director’s Interpretative Camera Angle)
เป็นมุมกล้องที่ผู้กำกับอาจจะกำหนดมุมกล้องขึ้นมาเอง เพื่อให้เกิดเรื่องราวเร้าใจชวนติดตามยิ่งขึ้น เป็นการสื่อสารเข้าถึงอารมณ์ของผู้ดูโทรทัศน์ได้อย่างเต็มที่



ภาพตัวอย่างมุมกล้องแบบต่างๆ


          ที่มา : http://www.thaiart.in.th/index.php?topic=47.0

สิ่งกระตุ้นที่ทำให้คนเราเกิดความเบี่ยงเบนทางเพศ

แบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ๆด้วยกันคือ
  • เริ่มจากการอบรมเลี้ยงดุและสัมพันธภาพในครอบครัว 
  • การเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน 
  • อิทธิพลของสภาวะสังคมที่กำหนดเงื่อนไขพฤติกรรมของคนเรากันขึ้นมา

ทางบ้าน


1) ความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับบุตร
ความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของเด็กชายที่เอนเอียงไปทางแบบอย่างของผู้หญิงนั้นมักเกิดขึ้นเนื่องมาจากผู้เป็นมารดานั้นให้ความรักและความใกล้ชิดกับลูกชายตัวเองมากจนเกินไป เช่นมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยกันเพียงสองคนอยู่เสมอ นอนอยู่ติดกันบนเตียงเดียวกันจนโตเป็นวัยรุ่น คอยเอาใจใส่หรือให้ความสนิทสนมกันมากเกินไป จนทำให้ความรู้สึกนึกคิด เจตคติค่านิยม และลักษณะท่าทางของผู้เป็นผู้หญิงซึมซาบทะลักทะลวงเข้าไปในบุคลิกภาพของเด็กชายนั้น จนประทับเป็นเอกลักษณ์ความเป็นหญิงเข้าไปในจิตใจของเขาทีละเล็กทีละน้อยกันอย่างไม่รู้ตัว  
2) บุคลิกภาพของบิดาและความสัมพันธ์กับบุตร ส่วนใหญ่แล้ว เด็กเหล่านี้มักมีบิดาที่เป็นคนที่มีนิสัยแข็งแกร่ง แข็งกร้าว เผด็จการ หรือเป็นคนเด่นเกินไปในเด็กชายนั้นไม่สามารถลอกเลียนแบบตามได้ หรือในทางตรงข้ามก็มักเป็นบิดาที่มีนิสัยอ่อนแอ เงียบเฉย แยกตัว ไม่มีบทบาทอะไรในบ้าน ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ผูกพันอะไรกับลูกชาย มักห่างเหินไม่ใกล้ชิดกัน หรืออาจเป็นคนเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง ดุร้าย โมโหง่าย ชอบข่มคนอื่นโดยเฉพาะต่อมารดา โดยไม่สนใจว่าเด็กจะมีความรู้สึกอย่างไร เด็กก็อาจมองภาพลักษณ์ของนิสัยบิดาค่อนข้างไปในแง่ลบ ทำให้เด็กก็ไม่อยากเลียนแบบ เอกลักษณ์ความเป็นชายที่อยู่ภายในก็เลยกบดานนิ่งไว้ไม่ผุดโผล่ออกมา นานเข้าก็จางลงกว่าอีกเพศหนึ่งกันไป

3) การคาดหวังของบิดามารดาที่อยากได้ลูกเป็นผู้หญิง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีลูกชายหลายคนแล้ว จึงอยากมีลูกสาวสักคน แต่เมื่อคลอดออกมาเป็นลูกชายอีก ก็เลยชดเชยความต้องการของตัวเองโดยการจับแต่งตัวลูกชายคนนี้ให้เหมือนผู้หญิงไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกชายนั้นเป็นคนหน้าตาดี รูปร่างหรือกิริยาท่าทางนุ่มนวลด้วยแล้ว ก็อาจยิ่งถูกแต่งให้เหมือนผู้หญิงมากขึ้น และบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า การแต่งตัว เมื่อเกิดความพอใจขึ้นทั้งสองฝ่ายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เด็กชายก็อาจรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ในใจในบทบาทความเป็นผู้หญิงมากกว่ความเป็นชายเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และก็เริ่มค่อยๆแสดงท่าทางออกมาเรียกว่า เป็นลักษณะนิสัยเด็กเป็นคนมีพฤติกรรมผิดเพศกันไปโดยไม่รู้ตัว

4) การรักลูกแบบลำเอียง ส่วนใหญ่ก็มักเกิดขึ้นเนื่องจากพ่อแม่ที่ตนรักเกิดตามใจและรักเอาใจใส่ลูกสาว (พี่สาวหรือน้องสาวของตน) มากกว่าตน ก็อาจทำให้เด็กชายนั้นเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ในใจ หลงคิดว่าถ้าตนทำตัวเป็นหญิงบ้าง พ่อ-แม่ก็คงจะรักเอาใจใส่ตนมากขึ้น เลยอาจประพฤติตัวแข่งกับผู้หญิงเพื่อเรียกร้องความรักความสนใจกัน หรือเป็นพฤติกรรมที่ต้องการต่อต้านบิดามารดาอีกรูปแบบหนึ่งในสังคมปัจจุบัน เพื่อให้พ่อแม่เดือดร้อนกลุ้มใจ สมกับที่ทอดทิ้งปล่อยปละละเลยตน เรียกว่า รู้อะไรที่พ่อแม่เกลียดไม่ชอบก็จะยิ่งทำ

5) ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ในการพัฒนาเอกลักษของเด็กด้านนั้นก็คือ การไม่อยากเหมือนอีกคนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่เป็นคนที่สนใจเอาแต่เรียนไม่ค่อยมีเพื่อน น้องก็จะปฏิบัติตนในทางตรงข้าม คือไม่สนใจเรียนแต่มีเพื่อนมาก เช่นเดียวกัน ถ้าเกิดมีพี่ชายหรือพี่สาวที่มีนิสัยคล้ายผู้ชายที่ชอบทำตัวเป็นคนแข็งแกร่งเป็นผู้ปกป้องทุกอย่างให้ เด็กชายซึ่งเป็นน้องก็อาจทำตัวเองให้มีนิสัยเหมือนผู้หญิงเป็นคนอ่อนแอ เรียบร้อยสุภาพ ต้องการให้ปกป้อง เพราะไม่ต้องการเหมือนพี่ที่มีลักษณะที่ตนไม่ชอบหรือเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งก็เป็นการทำให้เอกลักษณ์ของตนเองด้อยลงไปนั่นเอง


ทางโรงเรียน


1) การขาดแบบอย่างของบุคลิกภาพผู้ชาย ในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมส่วนใหญ่ของเมืองไทยเรานั้นักมีแต่ครูที่เป็นผู้หญิง โดยเฉพาะครูผู้หญิงที่มักสนใจรัก เอาใจใส่ต่อเด็กค่อนข้างดี และถ้ายิ่งเป็นครูสาวที่มีหน้าตาดีเรือนร่างเด่นด้วยแล้ว เด็กผู้ชายที่หาแบบอย่างความเป็นชายจากทางบ้านไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมาอยู่โรงเรียนก็ไม่มีแบบอย่างความเป็นชายจากครูผู้สอนอีก ก็จึงได้แต่จำแบบอย่างบุคลิกภาพจากของความเป็นหญิงเพิ่มมากขึ้นไปอีกในช่วงเด็กเล็กนี้กันอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครูผู้ชายที่มีอยู่บ้างตามโรงเรียนก็มักเป็นครูสอนพละ ซึ่งก็มักเป็นคนไม่หล่อตัวดำปิ๊ดปี๊เด็กก็ไม่อยากเลียนแบบอีก

2) เกิดจากการล้อเลียนจากเพื่อนหรือครูในโรงเรียน ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะเด็กชายคนนั้นมีหน้าตาดี หรือท่าทางอ้อนแอ้น เลยถูกล้อเลียนว่าเป็นกระเทย เมื่อถูกล้อเลียนบ่อยเข้า เด็กชายก็อาจเกิดความรู้สึกสับสนว่าตนเองเป็นกระเทยจริง จึงเป็นลักษณะถูกคนอื่นกระตุ้นให้เกิดการย้ำคิดย้ำความรู้สึก จนกลายเป็นความไม่แน่ใจสงสัยในตัวเอง ถึงขั้นขาดความเชื่อมั่นในด้านเอาลักษณ์บทบาททางเพศมากขึ้นกันได้

3) ระบบการศึกษาของโรงเรียน โรงเรียนที่มีแต่นักเรียนชายล้วนจะเกิดโอกาสให้เด็กชายที่อ่อนแอถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเป็นผู้หญิงมากกว่าโรงเรียนที่เป็นสหศึกษา เพราะในแง่จิตวิทยานั้นอธิบายได้ว่า เมื่อคนสองคนต้องมาอยู่ร่วมกัน คนหนึ่งพยายามทำตัวเป็นผู้นำและอีกคนหนึ่งก็ต้องทำตัวเป็นผู้ตามอย่างจำเป็น ...ในโรงเรียนชายล้วนเด็กชายที่สุภาพอ่อนโยนหรืออ่อนแอกว่า โดยเฉพาะยิ่งมีหน้าตาละเมียดลมัยไปทางผู้หญิงด้วยแล้ว ก็อาจต้องทำท่าทำทางเป็นลักษณะผู้หญิงกันไปต้องทำตัวเองเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่าเพื่อให้เพื่อนชายที่แข็งแรงกว่าเป็นฝ่ายปกป้อง เมื่อยิ่งถูกล้อเลียนหรือถูกชมเชยก็ยิ่งอาจเกิดความพึงพอใจในบทบาทนี้มากขึ้นก็ได้ แต่ในโรงเรียนสหศึกษานั้นมีนักเรียนหญิงซึ่งแสดงตัวเป็นฝ่ายเรียบร้อย อ่อนแอให้อยู่แล้ว ก็จะผลักดันให้เด็กชายที่อ่อนแอทั้งทางใจและทางกายต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นหรือต้องทำตัวให้เป็นผู้ชายกันมากขึ้นถ้าไม่อยากให้ผู้หญิงเธอล้อเลียนหรือปรามาสว่าอ่อนแอกว่า

4) ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน ถ้าเด็กชายที่มีแนวโน้มคล้ายเป็นผู้หญิงตั้งแต่อยู่ที่บ้าน เมื่อเข้าโรงเรียนก็มักอยากจะอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ถ้าเด็กหญิงยอมรับเข้าอยู่ในกลุ่มผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กชายคนนี้ถูกปฏิเสธหรือมักถูกรังแกจากกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกันเป็นลักษณะถูกซ้ำเติมให้เกิดเกรงกลัวผู้ชายกันมากขึ้นไปอีก เมื่อกิจกรรมอะไรบางอย่างที่โรงเรียนให้ทำก็เลยมักชอบทำร่วมกับผู้หญิงกันมากกว่า นานเข้า ก็จะยิ่งมีนิสัยผู้หญิงกันมากขึ้น

5) การจัดกิจกรรมของทางโรงเรียน ครูบางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่อเห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาดี น่ารัก ก็จัดให้เด็กชายนั้นแต่งตัวแสดงเป็นบทผู้หญิง เมื่อมีการจัดการแสดงละครหรือการแสดงต่างๆบนเวทีกัน โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีผู้ชายล้วน บางแห่งถึงกับมีการจัดประกวดเทพีชายประเภทสอง เทพีจำแลงกัน หรือให้แต่งตัวเป็นผู้หญิงเพื่อเป็นเชียร์ลีดเดอร์หรือเป็นคนเด่นคนดังกันต่างๆ เป็นต้น เด็กชายซึ่งไม่ค่อยได้รับความสนใจเมื่อปฏิบัติตัวเป็นผู้ชาย แต่เมื่อปฏิบัติตัวหรือแสดงกิริยาท่าทางเป็นผู้หญิงกับมีแต่คนสนใจชื่นชม ก็อาจเกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกตัวเองมีคุณค่า เป็นความรู้สึกเด่น เลยเริ่มออกแสดงตัวอย่างโจ่งครึ่มกันสะบัดก้นกันไปเลย สุดท้ายก็ติดเป็นนิสัย ก็ไม่อยากเป็นผู้ชายหรือแสดงท่าทางเป็นผู้ชายอีกต่อไป

6) การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียน โรงเรียนหลายโรงเรียนก็มีบางหลักสูตรที่บังคับให้เด็กชายต้องเรียนเย็บปักถักร้อยหรือกิจกรรมซึ่งในสังคมไทยยังถือว่าเป็นบทบาทของผู้หญิงกันอยู่ เมื่อเด็กชายที่มีแนวโน้มอยากเลียนแบบเหมือนแม่ตั้งแต่อยุ่ที่บ้านกันแล้วได้มีโอกาสเรียนแล้วยิ่งเกิดความรู้สึกชอบพอใจเกิดเป็นความถนัดและภาคภูมิใจ ก็อาจยิ่งเกิดความสับสนใจเอกลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น รวมทั้งด้านการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละเพศพึงกระทำกัน เป็นต้น

7) การอยู่ในกลุ่มที่มีแนวโน้มเป็นรักร่วมเพศด้วยกัน เพราะการที่ไม่สามารถเข้าอยู่ในกลุ่มผู้ชายที่คอยปฏิเสธคอยแต่รังแกเขาได้ ก็เลยต้องไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิงหรือไม่ก็ไปจับกลุ่มกับคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายกัน เลยยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเบี่ยงเบนทางเพศกันได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาการของการคล้อยตามกลุ่มเพื่อนอยู่แล้ว .. บุคลิกภาพของเด็กในช่วงนี้จึงขึ้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมด้วยกัน เมื่อมารวมกลุ่มกันเป็นลักษณะของกลุ่มสังคมย่อยที่แปลกออกไปความสนุกสนานก็ยิ่งเกิดมากขึ้นกลายเป็นจุดเด่นกันไป การแสดงตัวกันแปลกๆ แบบผิดเพศแปลกกว่าคนอื่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นก็จะยิ่งกระทำกันอย่างเปิดเผยกันมากขึ้น


ทางสังคม


1) แบบอย่างเพศที่สามผ่านทางด้านสื่อมวลชน คือ เมื่อคนแสดงเป็นผู้ชายแต่แสดงท่าแสดงทางดัดจริตเหมือนผู้หญิง โดยเฉพาะการแสดงลักษณะนี้ทางโทรทัศน์ ทางภาพยนตร์ บนเวทีการแสดง หรือเป็นรูปภาพในนิตยสาร หนังสือต่างๆ ซึ่งก็มักต้องการทำให้คนรู้สึกชอบอกชอบใจสนุกสนานอยู่แล้ว จึงกลายเป็นการสร้างความสนใจประทับใจให้แก่พวกเขาไปในทางลักษณะเด่นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ .. เด็กชายที่ขาดแบบอย่างผู้ชายจากผู้เป็นบิดาที่บ้านและผู้เป็นครูผู้ชายที่โรงเรียนมาก่อน ก็อาจเลือกแบบคนแสดงชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งขึ้นมาเป็นแบบอย่างของตนเองกัน เพราะความที่มีแนวโน้มอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะถ้าคนแสดงนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีคนชื่นชมมากและประสบความสำเร็จในชีวิตด้านการงานที่เขาทำอยู่ เช่น เป็นคนแสดงเก่งร้องเพลงเก่ง พูดเก่ง หรือเป็นคนมีความสามารถเฉพาะทางใดทางหนึ่งเก่ง .. เด็กก็ยิ่งเกิดการจำแบบอย่างได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังแสวงหาเอกลักษณ์ตัวเองทั้งทางด้านอาชีพการงานและการดำเนินชีวิตส่วนตัวกันอยู่ เป็นลักษณะเดินตามรอยคนเด่น นั่นเอง .. และยิ่งถ้าเป็นคนที่เป็นอยู่แล้วต้องการเปิดเผยแสดงตัวเองเพื่อหาคนอื่นเป็นแนวร่วมกันมากขึ้น จึงยิ่งต้องพยายามสร้างพฤติกรรมให้เด่นเป็นลักษณะเฉพาะของคนประเภทนี้กันไป เพื่อต่อต้านสังคมที่ประณามพวกเขาว่ามีพฤติกรรเบี่ยงเบนหรือผิดปกติ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกรังเกียจหรือถูกปฏิเสธกันอีก พฤติกรรมรักร่วมเพศก็จะระบาดเร็วและมากยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องไปคอยคุมพฤติกรรมที่คนอื่นในสังคมต้องการกันอีก

2) เกิดประสบการณ์รักร่วมเพศกันมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วอาจเป็นเพียงแค่เปิดอวัยวะเพศให้ดูกันหรือสำเร็จความใคร่ให้กัน เพราะวุฒิภาวะทางอารมณ์ด้านเพศของเด็กเหล่านี้มักจะเร็วและมีมากกว่เด็กทั่วไป จึงอยากรู้อยากลองเรื่องเพศตั้งแต่ยังเด็ก ก็เลยอาจเกิดความพึงพอใจติดใจขึ้นมาได้ เมื่อได้ลองกับเพื่อนเพศเดียวกัน .. เพราะเรื่องเพศนั้นเปรียบเหมือนสิ่งเสพติด ลองได้ลองแล้วก็มักติดตาติดใจ อยากทำอีก หรืออาจเพราะเกิดจากถูกผู้ใหญ่กระทำการรักร่วมเพศ โดยให้ทั้งความอบอุ่น หรือสิ่งของที่ถูกใจต่างๆ ที่เด็กอยากได้ เมื่อเกิดได้บ่อยๆ เด็กก็อาจเกิดความรู้สึกฝังใจ เพราะเกิดความรู้สึกสุขทั้งด้านจิตใจที่ได้รับความสนใจ และวัตถุสิ่งของที่ตนอยากได้ .. การรักร่วมเพศเลยกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นเร้าใจขึ้นมาโดยไม่ต้องคอยไปควบคุมอะไรกันอีก

3) เกิดจากค่านิยมทางสังคมที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ค่านิยมที่เชื่อว่าการเป็นผู้ชายนั้นต้องเป็นคนแข็งแกร่ง แข็งแรง ต้องชอบเล่นกีฬา พูดจาโผงผาง หยาบคาย ก้าวร้าว เกเร ต้องชกต่อยกัน เล่นกันเจ็บๆ จนถึงขั้นต้องสูบบุหรี่ กินเหล้าเที่ยวผู้หญิงเป็น .. ถ้าเด็กชายคนนั้นมีเอกลักษณ์สับสนอยู่แล้ว และไม่รู้สึกอยากเป็นคนที่มีลักษณะนัสัยดังกล่าวนี้ได้ เลยยิ่งเกิดสับสนได้ว่าตนเองคนเป็นผู้หญิงมากกกว่า เพราะนิสัยตัวเองนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนสำรวมเรียบร้อย อาจเป็นคนไม่ชอบเล่นกีฬาหรือความรุ่นแรงต่างๆ อ่อนแอเหมือนผู้หญิงทั่วไป จึงอาจเกิดอาการย้ำคิดสับสนอยู่ในใจ เมื่อเกิดถูกเพื่อนเพศเดียวกันกระตุ้นอารมณ์ทางเพศขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือพวกที่มีนิสัยลักษณะคล้ายกันชวนเข้าเป็นกลุ่มก็เลยฝังใจเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาได้

4) เกิดจากการเปลี่ยนบทบาทของผู้หญิงในสังคมปัจจุบัน ในปัจจุบันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะกล้าแสดงออกกันมากขึ้น ทั้งการพูดจาและการวางตัวโดยเฉพาะเวลาอยู่กับผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่เป็นลักษณะขี้อายอ่อนแอเป็นฝ่ายรับกันอย่างเดียวเหมือนผู้หญิงสมัยก่อน ผู้ชายที่มีเอกลักษณะไม่ดีขาดความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่แล้ว ก็จะยิ่งเกิดความไม่เชื่อมั่นในบทบาทความเป็นชายมากขึ้นไปอีก .. เมื่อเกิดมีผู้ชายอื่นมากระตุ้นเป็นฝ่ายรุก ตัวเองเป็นฝ่ายรับแล้วรู้สึกสบายใจกว่าการต้องทำตัวเป็นฝ่ายรุกผู้เป็นหญิง ก็อาจเกิดความพอใจที่จะเป็นฝ่ายรองรับต่อไปได้ โดยเฉพาะผู้หญิงไม่น้อยในสมัยนี้ที่หาความสวยไม่ค่อยพบแล้ว ยังทำตัวอย่างไม่มีความน่ารักกันอีกด้วย ..ผู้ชายที่มีเอกลักษณ์สับสนอยู่แล้วเลยยิ่งหมดอารมณ์ทางเพศกัน ในขณะเดียวกันผู้ชายสมัยนี้กลับแต่งหน้าแต่งตัวอย่างยั่วยวนกันมากขึ้น เกย์ก็เลยเพิ่มทวีกันดั่งที่เห็น

5) เกิดจากระบบสังคม-เศรษฐกิจ สังคมไทยในปัจจุบันเป็นลักษณะกึ่งทุนนิยม เรื่องรักร่วมเพศก็เลยกลายเป็นธุรกิจการค้าชนิดหนึ่งกันแล้ว จึงมีการผลิตหนังสือทั้งด้านการเขียน และรูปภาพการแสดงบนเวที การแสดงทางโทรทัศน์ วีซีดี และในภาพยนตร์ด้านรักร่วมเพศกันมากขึ้น ตลอดจนสถานที่บันเทิงมากมายที่ต้องการสร้างความเร้าใจการบริการพิเศษให้แก่ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นรักร่วมเพศ เช่น บาร์เกย์ คอกเทลเลานจ์ เธค ผับ ซาวด์น่า หรือสถานที่บริหารกายให้แก่กลุ่มนี้โดยเฉพาะกัน เป็นต้น .. เมื่อสังคมเปิดโอกาสให้คนรักร่วมเพศได้เปิดเผยตัว กล้าแสดงตัวกันมากขึ้น ไม่ต้องมีความรู้สึกละอายใจหรือต้องคอยปกปิดควบคุมตัวเองอะไรกันอีก แนวโน้มที่จะเป็นรักร่วมเพศอยู่แล้วก็เลยเป็นกันเต็มตัวกัน ได้เลย

6) เกิดจากผลของลัทธิต้องการเป็นคนเด่น ในสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่ต้องมีชีวิตอยู่ในโลกของการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน บางคนก็มุ่งไปเรียนเก่ง บ้างก็มุ่งไปเก่งด้านกีฬาหรือด้านการคบเพื่อน ด้านกิจกรรม ด้านตรี หรือด้านอื่นๆมากมาย ..พวกที่มีแนวโน้มจะเป็นรักร่วมเพศ เมื่อเลือกเก่งที่สังคมยอมรับกันไม่ค่อยได้ ก็จึงมุ่งไปสู่การทำงาน การแสดงตัวกระชดกระช้อย การเอาอกเอาใจคนอื่นเก่ง หรือการทำอะไรแปลกๆ ในลักษณะเป็นชายจริงก็ไม่ใช่หญิงแท้ก็ไม่เชิง หรือการกระทำอะไรก็ได้ แล้วสามารถชนะใจคนอื่นกันได้หรือเป็นที่สนใจจากผู้อื่นจนเป็นคนเด่นกันได้ในสังคม ก็จะยิ่งเกิดความพอใจในบทบาทนี้กันมากขึ้น เช่น การแต่งหน้าแต่งตัว การแสดงละคร การแสดงลิปซิง การแสดงเป็นตลกขบขัน การพูดจาเหน็บแนมคนเก่ง หรือการเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู เป็นต้น .. แสดงตัวบ่อยๆเข้าเพราะคนทั่วไปก็ไปให้ความสนใจโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถึงผลที่จะตามมา ก็เลยติดเป็นนิสัย ไม่นึกอยากกลับไปเป็นผู้ชายที่ธรรมดาๆใครๆก็เป็นกันได้อีก ซึ่งก็ไม่มีทั้งความแปลกแหวกแนว และก็ไม่มีอะไรเด่นดังเป็นพิเศษว่าคนทั่วไปนั่นเอง เรียกว่าสมัยนี้ถ้าไม่มีอะไรเด่นดังแล้ว ก็รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่าที่จะอยู่ต่อไปกันทำไมอีก ก็เลยเล่นจำอวดกันคนละทิศละทางกันไป บ้างจึงแต่งตัวกันแปลกๆบ้างก็กระทำอะไรกันพิศดารวิตถาร หรือ ฯลฯ ต่างๆ เพื่อเพียงให้คนตามมาดู หรือ ได้เป็นข่าว ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือได้ปรากฎตัวทางโทรทัศน์ บนเวทีกัน เป็นต้น .. คนรักร่วมเพศจึงเป็นผลพวงของลัทธิยกคนเด่นที่เรากำลังถูกล้างสมองกันอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ .

          ที่มา : http://www.reocities.com/Area51/jupiter/6217/22docter.htm

เกย์ - ตุ๊ด ในแง่จิตวิทยา


          ถ้าถามว่า ทำไมการรักร่วมเพศจึงถูกเรียกว่าเป็น"ปัญหา" คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะเมื่อก่อนคนทั่วไปในสังคมต่างก็ไม่ยอมรับพฤติกรรมแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร และคนที่เป็นเองก็ยังมีความคิดรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นปมด้อยที่ตัวเองต้องเป็นอย่างนี้ รวมทั้งศาสนาทุกศาสนาหรือลัทธิความเชื่อแทบทุกลัทธิต่างก็ระบุพฤติกรรมลักษณะนี้ไว้ว่าเป็น ความผิดปกติ ถือว่า เป็นบาป หรือเป็นผลกรรมที่ติดตัวมา

          ในทางแพทย์หรือจิตเวชสากล แต่ก่อนก็จัดบุคคลที่กระทำรักร่วมเพศอยู่ในหมวดของโรคประสาทบุคลิกภาพแปรปรวนกัน ถือเป็นโรคที่ค่อนข้างจะร้ายแรงประเภทหนึ่ง แต่ปัจจุบันกลับถือว่า "เป็นความเบี่ยงเบนทางเพศ" เท่านั้น ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่อย่างใดอีกแล้ว เรียกว่า รสนิยมทางเพศ ต่างกับคนทั่วไป ก็เท่านั้นเอง

          แต่ที่ยังเป้นปัญหารุนแรงอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ก็เพราะ ผู้ที่เป็น พ่อ-แม่ของคนที่เป็นนั้นยังยอมรับกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะถือ่ามันเป็นสิ่งผิดปกติเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าและที่ร้ายที่สุดคือ ทำให้ไม่มีการต่อตระกูลกันอีก แต่ลูกที่เป็นนั้นไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรหรือเดือดร้อนใคร หรือว่ามันเรื่องอะไรที่ต้องไปทำตามคนอื่นเขา ในเมื่อตัวเราเองเกิดมาแล้วมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ก็จะเป็นตัวของตัวเองอย่างนี้แหละ !

          จริงแล้ว ไม่มีมีใครที่อยากจะเกิดมาเป็นคนรักร่วมเพศ และก็ไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกนี้ที่จะภาวนาอยากมีลูกออกมาเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด

          เรื่องของรักร่วมเพศนั้นมิใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หรือเพียงแค่ในประเทศบางประเทศเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานก่อนที่จะมีการบันทึกเป็นประวัติศาสตร์กันเสียอีก และในพฤติกรรมของรักร่วมเพศนี้ก็ยังสามารถแยกแยะความต่างกันของอาการตัวมันเองได้ไม่น้อยกว่าร้อยลักษณะอย่างอาการ เรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญการรักษาอาการหรือพฤติกรรมนี้ก็ยัง มึน เลย

          คำว่า รักร่วมเพศ นั้นเป็นศัพท์ทางวิชาการ ซึ่งแปลมาจาก Homosexual หมายถึง บุคคลที่มีความรู้สึกทางเพศ และมีพฤติกรรมที่ต้องการมีสัมพันธ์ทางเพศกับบุคคลที่เป็นเพศเดียวกัน อาจเป็นเพศชายต่อเพศชาย หรือเพศหญิงต่อเพศหญิงก็ได้ แต่คนไทยชอบเรียกสั้นๆว่า โฮโม

          ต่อมาคำว่า โฮโม กลับกลายเป็นคำที่ใช้เรียกเฉพาะผู้ที่เป็นเพศชายที่เป็นรักร่วมเพศกันเท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่า เพราะคนที่รักร่วมเพศส่วนใหญ่มัาเป็นกัผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 - 6 เท่าตัว

          ส่วนชาวบ้านทั่วไปไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติมักไม่ชอบเรียกอะไรตามทางการเขาอยู่แล้ว ก็เลยเรียกว่าพวก กระเทย ซึ่งเป็นการเรียกแบบเชิงรังเกียจเหยียดหยาม หรือพวกฝรั่งเรียกศัพท์แสลงว่า half and half ที่แปลว่า ครึ่ง ครึ่ง คือ ครึ่งชายครึ่งหญิ่ง ไม่เต็ม ไม่สมบูรณ์ เป็นต้น


          เกย์คิงย์ และเกย์ จึงมักไม่แสดงตัวออกท่าทางกระตุ้งกระติ้งหรือการแต่งตัวที่ค่อนไปทางผู้หญิง รวมทั้งมักไม่เปิดเผยความรู้สึกรักร่วมเพศให้คนทั่วไปได้รับรู้ ชาวบ้านจึงมักดูกันไม่ค่อยออกนึกกันไม่ค่อยถึง เพราะลักษณะท่าทางทั่วไปภายนอกของเกย์นั้นก็คือผู้ชายธรรมดาๆนี่เอง อาจแต่งตัวฉูดฉาดกว่า ทันสมัยกว่าหรือเรียบร้อยกว่า ก็เท่านั้นเอง และเกือบครึ่งหนึ่งของเกย์คิงก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิงกันได้ แต่งงานมีครอบครัวกันได้ แต่ส่วนลึกของความรู้สึกภายในนั้นยังรักชอบเพศเดียวกันมากกว่า เพียงแต่มีเคล็ดลับเฉพาะในการสามารถร่วมเพศกับผู้หญิงทั้งที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ได้เท่านั้น ก็เลยรอดพ้นจากการถูกสงสัย นอกจากพวกเกย์ด้วยกันเท่านั้นที่มองหน้ากันก็พอดูกันออกรู้กันเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะพวกเขามีญาณพิเศษหรือประสาทที่6 ที่สามารถรับรู้กันได้ตามที่ยังเข้าใจผิดๆ ในหมู่เกย์นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะพวกเขาสามารถสังเกตุพฤติกรรมปลีกย่อยต่างๆที่แสดงออกถึงความต้องการจะหาคนแปลกหน้าแต่ใจเหมือนกันไปเป็นเพื่อนคู่นอนซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ..และมักไม่ค่อยพลาด เพราะคนที่ไม่เป็นเกย์นั้นก็มักมัวแต่มองหน้ามองตาผู้หญิงแทนการมองหน้าสบตากับผู้ชายด้วยกันเอง นั่นเอง


          ตุ๊ต จึงจัดอยู่ในพวก เกย์ควีน เพียงแต่แสดงตัวเปิดเผยแจ่มแจ้งว่าเหมือนพวกลักเพศ บทบาทพฤติกรรมทางเพศ จึงเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ และไม่สามารถหรือแม้แต่จะลองคิดพยายามร่วมเพศกับผู้หญิงกันสักครั้ง

          แปลกอย่างหนึ่ง พวกเกย์มักไม่ชอบหรือทนดูแทบไม่ได้ต่อพฤติกรรมของพวกตุ๊ดมากกว่าผู้ที่เป็นชายจริงหญิงแท้เสียอีก


สาเหตุของรักร่วมเพศ : โดยทั่วไปมนุษย์เรานั้นเกิดมาก็มีความรู้สึกนึกคิดตอลดจนเรื่องอารมณ์ทางเพศเป็นพื้นฐานของความต้องการทางร่างกายและด้านจิตใจอยู่แล้วทุกคน ต่างกันก็ตรงที่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่า หรือรู้เร็วรู้ช้ากว่า หรือถูกกระตุ้นได้ง่ายกว่ายากกว่ากันเท่านั้น และเพราะอารมณ์ทางเพศนั้นเกิดมาจากระบวนการทางสรีรกาย การระบายอารมณ์ทางเพศจึงเป็นความต้องการของร่างกายเหมือนกับความต้องการอาหาร น้ำดื่ม หรือความอบอุ่น ความปลอดภัย มิใช่เรื่องราวของความต้องการทางด้านจิตใจหรือทางด้านสังคมแต่อย่างไร เพียงแต่เรื่องเพศนั้นมันเหมือนสิ่งเสพติดชนิดหนึ่ง คือ เมื่อได้เสพแล้วก็มักเกิดติดได้ที่เรียกว่า ติดใจ ก็เลยกลายเป็นเรื่องของติดใจไป



          เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น เป็นลักษณะคล้ายกับการมีอามรณ์ทางเพศเป็นทุกเดิมอยู่แล้ว เมื่อถูกสิ่งเร้าใดกระตุ้นขึ้นมา อารมณ์นั้นก็เลยเริ่มเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นนั้น เช่น เกิดมาเป็นรูปร่างชาย แต่ถูกผู้ชายอื่นมากระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้เกิดบ่อยๆจนเป็นภาวะประทับสัมพันธ์กับความรู้สึกนึกคิดและกระบวนการสรีรกายที่แปรรูปออกมาเป็นการกระทำในสถานการณ์นั้นพอดี

          ต่อมาเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นก็เริ่มเกิดความนึกคิด ความรู้สึกและอยากกระทำกับเพศเดียวกันอีก ดังที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว นั่นเอง ถ้าไม่มีสิ่งใดมาปะทะให้เกิดการวางเงื่อนไขกลับ หรือการเรียนรู้ใหม่กับ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากภาวะเงื่อนไขนี้ก็จะค่อยๆเพาะเป็นนิสัยติดตัวจนกลายเป็นคนรักร่วมเพศกันไปในที่สุด


          ที่มา : http://www.reocities.com/Area51/jupiter/6217/22docter.htm

ชีวิตชายรักชาย

          ผลจากการศึกษากลุ่มชายรักชาย ๑๐๐ คน ซึ่งเป็นเกย์ ๙๕ คน เป็นกะเทย ๕ คน พบว่า ๔๐ คน ทำงานเป็นลูกจ้างในสำนักงาน รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร ร้องเพลง ครูเต้นรำ นาฏศิลป์ และพิธีกร ตามลำดับ 

          ในจำนวนนี้ ๖๑ คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้ชาย และจำนวน ๓๔ คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้หญิง ผู้เข้ารับการสำรวจยังบอกว่ามีประสบการณ์ทางเพศหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกส่วนใหญ่เนื่องจากความรัก หรือความต้องการทางเพศ และอีก ๕ คนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ 
ด้านชีวิตการแต่งงานพบว่า ๘๘ คน ยังเป็นโสดหรือมีคู่เป็นผู้ชาย และอีก ๑๒ คน เคยแต่งงานกับหญิง 
ในจำนวนทั้งหมดนี้ ๔ คน หย่ากับภรรยาแล้ว เพราะ "เข้ากันไม่ได้"อีก ๒ คน หย่ากับภรรยาทั้งที่ครอบครัวมีความสุขพอควร แต่ยอมเสียสละให้ภรรยาได้มีโอกาสมีสามีที่เป็นชายเต็มตัว 
อีก ๑ คน กำลังจะหย่ากับภรรยา เพราะพบแฟน เป็นชายที่ให้ความสุขได้มากกว่าภรรยา
ส่วนอีก ๕ คน ยังอยู่กับภรรยาและครอบครัวอย่างมีความสุข
          จากการสำรวจพบข้อสังเกตว่าโอกาสล้มเหลวของ เกย์ที่แต่งงานกับผู้หญิงมีค่อนข้างมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยให้ชีวิตแต่งงานประสบความสำเร็จ คือรสนิยมทางเพศต้องเอียงไปทางชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือแต่งงานกันด้วยความรักและความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์มั่นคงไม่นอกใจภรรยามีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งภรรยามีความเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัยด้วย

          เรื่องความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ พบว่ามี ๖๙ คนที่ตรวจเลือดหาโรคเอดส์ มีผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์)  ๕ ราย หรือร้อยละ ๗.๖ ซึ่งนับว่าสูงกว่าประชากรทั่วไป สำหรับเรื่องของการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพร่างกายหลังจากติดเชื้อเอดส์แล้วทางหน่วยงานที่มีส่วนในการรับผิดชอบควรมีมาตรการช่วยเหลือให้มากขึ้น

          ที่มา : http://www.doctor.or.th/article/detail/1078

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ผลวิจัยเผยทั่วโลกยอมรับ “รักร่วมเพศ” มากขึ้น





เอเอฟพี - ประเทศทั่วโลกหันมายอมรับบุคคลที่นิยมเพศเดียวกันมากขึ้น เว้นเพียงรัสเซียและอดีตประเทศสังคมนิยมอื่นๆ ผลการศึกษาชิ้นใหม่เผย 
       รายงานการศึกษาซึ่งเรียบเรียงโดยสถาบันวิจัยความคิดเห็นแห่งชาติ มหาวิทยาลัยชิคาโก ได้สรุปความคิดเห็นจากประชาชน 30 ประเทศทั่วโลกเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ และพบว่า ประชาชนใน 27 ประเทศให้การยอมรับผู้ที่นิยมเพศเดียวกันมากขึ้น เว้นเพียง 4 ประเทศเท่านั้นที่ยอมรับน้อยลง ได้แก่ ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, ลัตเวีย และ รัสเซีย  
       ประเทศที่ยอมรับค่านิยมรักร่วมเพศมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, นอร์เวย์, สวิตเซอร์แลนด์ และ เบลเยียม ส่วนที่ยอมรับรองลงมาจนถึงน้อยที่สุด ประกอบไปด้วย 7 ประเทศที่เคยปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม, ประเทศแถบเอเชียตะวันออก, ประเทศแถบละตินอเมริกา, ไซปรัส, แอฟริกาใต้ และตุรกี      
       จากการสำรวจเมื่อปี 1991 พบว่า พลเมืองรัสเซียร้อยละ 59 คิดว่า การรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งความเห็นดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 68 ในปี 2008      
       เมื่อวันเสาร์ (28) ที่ผ่านมา ตำรวจรัสเซียจับกุมแกนนำนักต่อสู้เพื่อสิทธิเกย์ 3 คน และชาวรัสเซียอีกหลายสิบคน ที่ออกมารณรงค์เพื่อสิทธิของคนรักร่วมเพศ ใกล้กับกำแพงพระราชวังเครมลิน จนเกิดการปะทะกับกลุ่มชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ที่โน้มน้าวให้กรุงมอสโกสั่งห้ามการชุมนุมดังกล่าวไปก่อนหน้านั้น

ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000065404

มองเพศที่สามอย่างเข้าใจ



การเป็นเกย์และกระเทยส่วนหนึ่งมาจาก อิทธิพลของฮอร์โมนเพศตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกนั้นคือสิ่งแวดล้อม สังคมและการเลี้ยงดูในครอบครัว
เพศที่ 3 กับสังคม
คนทั่วไปส่วนใหญ่ยังมีความสับสนเรื่องผู้ชายด้วยกันหรือผู้ชายที่มี กิริยามารยาทคล้ายกับผู้หญิงนอกจากคนในสังคมจะสับสนและไม่เข้าใจแล้ว ยังมองบุคคลเหล่านี้ไปในทางลบ
ทั้งนี้ จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ชายมีหลักๆ 3 กลุ่มคือ

  • กลุ่มผู้ชายที่รักผู้หญิง (เพศตรงข้าม-ต่างเพศ) ซึ่งสังคมทั่วไปยอมรับ

  • กลุ่มผู้ชายที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แค่รักผู้ชายด้วยกัน (เพศเดียวกัน-ร่วมเพศ) ซึ่งมักนิยามตัวเองว่า เกย์ (gay) มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลวา สดใส ร่าเริง

  • ผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้หญิงที่อยู่ในร่างของผู้ชายนั่นเอง คำไทยมักใช้ว่า กะเทย” (transgender หรือ transsexual)

         การที่ผู้ชายมีความรักเพศเดียวกัน มีสาแหตุหลายอย่าง ทั้งปัจจัยทางชีววิทยา และจิตวิทยา เริ่มตั้งแต่สาเหตุทางพันธุกรรม การพัฒนาของสมองเด็กในครรภ์ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ตลอดจนการอบรมเลี้ยงดู และประสบการณ์การเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้วซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ เกิดจากการเลียนแบบ และไม่ติดต่อกัน

ทั้งเกย์และกระเทย จะเริ่มรู้สึกว่าตนเองต่างจากเพื่อเพศเดียวกัน ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ หรือเมื่อเริ่มจำความได้ โดยจะจดจำว่าพ่อแม่ตักเตือนอยู่เสมอว่าอย่าทำตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกกดดันภายในจิตใจ

ด้านพฤติกรรมจะมีความรู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย กิริยามารยาทคล้ายเด็กหญิง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ไม่ชอบเล่นรุนแรง เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกทางเพศเดียวกัน แตกต่างจากเพื่อนผู้ชายทั่วไป

เนื่องจากเด็กรับรู้ว่าสังคมทั่วไปมีความรู้สึกรังเกียจเกย์และกระเทย เด็กจึงสับสนไม่แน่ใจ ในการวางตัวในสังคม ความเครียด และพยายามบิดปังความรู้สึกของตนเอง บางคนพยายามป้องกันตนเอง โดยพยายามทำตัวเป็นชายชาตรี เช่น พยายามมีคนรักเป็นผู้หญิงหลายๆ คน เพาะกายให้ดูเป็น แมนแสดงตนก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีเด็กบางคนก็พยายามหาสิ่งทดแทนความด้อย เช่น พยายามขยัน ตั้งใจเรียน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อน ซึ่งเป็นการทดแทนที่ดีถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ เด็กจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากขึ้น บางคนมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอฉีดฮอร์โมนเพศชาย โดยหวังว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการในใจ แต่ความเป็นจริงฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้มีผลดังที่หวังเลย

ระยะสับสนกังวลนี้อาจจะกินเวลานานมากหรือน้อย แล้วแต่ตัวเด็กแต่ละคน เมื่อผ่านระยะนี้ไปเด็กจะเริ่มยอมรับความรู้สึกและความต้องการทางเพศของตน เองมากขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลจะลดลง ในขั้นต่อไปอาจพัฒนาถึงขั้นเปิดเผยตนเองต่อสังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี

สังคมไทยยอมรับเกย์และกระเทยมากขึ้นกว่าในหลายประเทศ แต่คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกในแง่ลบกับเกย์และกะเทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพเกย์และกะเทยที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ แสดงเป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ มีอารมณ์รุนแรงโหดเหี้ยม ซึ่งความจริงที่ปรากฏก็คือเกย์และกะเทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคมก็มีอยู่มาก

ที่มา : http://www.ppat.or.th/th/article/understand_third_gender