วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สิ่งกระตุ้นที่ทำให้คนเราเกิดความเบี่ยงเบนทางเพศ

แบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ๆด้วยกันคือ
  • เริ่มจากการอบรมเลี้ยงดุและสัมพันธภาพในครอบครัว 
  • การเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน 
  • อิทธิพลของสภาวะสังคมที่กำหนดเงื่อนไขพฤติกรรมของคนเรากันขึ้นมา

ทางบ้าน


1) ความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับบุตร
ความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของเด็กชายที่เอนเอียงไปทางแบบอย่างของผู้หญิงนั้นมักเกิดขึ้นเนื่องมาจากผู้เป็นมารดานั้นให้ความรักและความใกล้ชิดกับลูกชายตัวเองมากจนเกินไป เช่นมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยกันเพียงสองคนอยู่เสมอ นอนอยู่ติดกันบนเตียงเดียวกันจนโตเป็นวัยรุ่น คอยเอาใจใส่หรือให้ความสนิทสนมกันมากเกินไป จนทำให้ความรู้สึกนึกคิด เจตคติค่านิยม และลักษณะท่าทางของผู้เป็นผู้หญิงซึมซาบทะลักทะลวงเข้าไปในบุคลิกภาพของเด็กชายนั้น จนประทับเป็นเอกลักษณ์ความเป็นหญิงเข้าไปในจิตใจของเขาทีละเล็กทีละน้อยกันอย่างไม่รู้ตัว  
2) บุคลิกภาพของบิดาและความสัมพันธ์กับบุตร ส่วนใหญ่แล้ว เด็กเหล่านี้มักมีบิดาที่เป็นคนที่มีนิสัยแข็งแกร่ง แข็งกร้าว เผด็จการ หรือเป็นคนเด่นเกินไปในเด็กชายนั้นไม่สามารถลอกเลียนแบบตามได้ หรือในทางตรงข้ามก็มักเป็นบิดาที่มีนิสัยอ่อนแอ เงียบเฉย แยกตัว ไม่มีบทบาทอะไรในบ้าน ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ผูกพันอะไรกับลูกชาย มักห่างเหินไม่ใกล้ชิดกัน หรืออาจเป็นคนเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง ดุร้าย โมโหง่าย ชอบข่มคนอื่นโดยเฉพาะต่อมารดา โดยไม่สนใจว่าเด็กจะมีความรู้สึกอย่างไร เด็กก็อาจมองภาพลักษณ์ของนิสัยบิดาค่อนข้างไปในแง่ลบ ทำให้เด็กก็ไม่อยากเลียนแบบ เอกลักษณ์ความเป็นชายที่อยู่ภายในก็เลยกบดานนิ่งไว้ไม่ผุดโผล่ออกมา นานเข้าก็จางลงกว่าอีกเพศหนึ่งกันไป

3) การคาดหวังของบิดามารดาที่อยากได้ลูกเป็นผู้หญิง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีลูกชายหลายคนแล้ว จึงอยากมีลูกสาวสักคน แต่เมื่อคลอดออกมาเป็นลูกชายอีก ก็เลยชดเชยความต้องการของตัวเองโดยการจับแต่งตัวลูกชายคนนี้ให้เหมือนผู้หญิงไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกชายนั้นเป็นคนหน้าตาดี รูปร่างหรือกิริยาท่าทางนุ่มนวลด้วยแล้ว ก็อาจยิ่งถูกแต่งให้เหมือนผู้หญิงมากขึ้น และบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า การแต่งตัว เมื่อเกิดความพอใจขึ้นทั้งสองฝ่ายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เด็กชายก็อาจรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ในใจในบทบาทความเป็นผู้หญิงมากกว่ความเป็นชายเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และก็เริ่มค่อยๆแสดงท่าทางออกมาเรียกว่า เป็นลักษณะนิสัยเด็กเป็นคนมีพฤติกรรมผิดเพศกันไปโดยไม่รู้ตัว

4) การรักลูกแบบลำเอียง ส่วนใหญ่ก็มักเกิดขึ้นเนื่องจากพ่อแม่ที่ตนรักเกิดตามใจและรักเอาใจใส่ลูกสาว (พี่สาวหรือน้องสาวของตน) มากกว่าตน ก็อาจทำให้เด็กชายนั้นเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ในใจ หลงคิดว่าถ้าตนทำตัวเป็นหญิงบ้าง พ่อ-แม่ก็คงจะรักเอาใจใส่ตนมากขึ้น เลยอาจประพฤติตัวแข่งกับผู้หญิงเพื่อเรียกร้องความรักความสนใจกัน หรือเป็นพฤติกรรมที่ต้องการต่อต้านบิดามารดาอีกรูปแบบหนึ่งในสังคมปัจจุบัน เพื่อให้พ่อแม่เดือดร้อนกลุ้มใจ สมกับที่ทอดทิ้งปล่อยปละละเลยตน เรียกว่า รู้อะไรที่พ่อแม่เกลียดไม่ชอบก็จะยิ่งทำ

5) ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ในการพัฒนาเอกลักษของเด็กด้านนั้นก็คือ การไม่อยากเหมือนอีกคนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่เป็นคนที่สนใจเอาแต่เรียนไม่ค่อยมีเพื่อน น้องก็จะปฏิบัติตนในทางตรงข้าม คือไม่สนใจเรียนแต่มีเพื่อนมาก เช่นเดียวกัน ถ้าเกิดมีพี่ชายหรือพี่สาวที่มีนิสัยคล้ายผู้ชายที่ชอบทำตัวเป็นคนแข็งแกร่งเป็นผู้ปกป้องทุกอย่างให้ เด็กชายซึ่งเป็นน้องก็อาจทำตัวเองให้มีนิสัยเหมือนผู้หญิงเป็นคนอ่อนแอ เรียบร้อยสุภาพ ต้องการให้ปกป้อง เพราะไม่ต้องการเหมือนพี่ที่มีลักษณะที่ตนไม่ชอบหรือเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งก็เป็นการทำให้เอกลักษณ์ของตนเองด้อยลงไปนั่นเอง


ทางโรงเรียน


1) การขาดแบบอย่างของบุคลิกภาพผู้ชาย ในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมส่วนใหญ่ของเมืองไทยเรานั้นักมีแต่ครูที่เป็นผู้หญิง โดยเฉพาะครูผู้หญิงที่มักสนใจรัก เอาใจใส่ต่อเด็กค่อนข้างดี และถ้ายิ่งเป็นครูสาวที่มีหน้าตาดีเรือนร่างเด่นด้วยแล้ว เด็กผู้ชายที่หาแบบอย่างความเป็นชายจากทางบ้านไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมาอยู่โรงเรียนก็ไม่มีแบบอย่างความเป็นชายจากครูผู้สอนอีก ก็จึงได้แต่จำแบบอย่างบุคลิกภาพจากของความเป็นหญิงเพิ่มมากขึ้นไปอีกในช่วงเด็กเล็กนี้กันอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครูผู้ชายที่มีอยู่บ้างตามโรงเรียนก็มักเป็นครูสอนพละ ซึ่งก็มักเป็นคนไม่หล่อตัวดำปิ๊ดปี๊เด็กก็ไม่อยากเลียนแบบอีก

2) เกิดจากการล้อเลียนจากเพื่อนหรือครูในโรงเรียน ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะเด็กชายคนนั้นมีหน้าตาดี หรือท่าทางอ้อนแอ้น เลยถูกล้อเลียนว่าเป็นกระเทย เมื่อถูกล้อเลียนบ่อยเข้า เด็กชายก็อาจเกิดความรู้สึกสับสนว่าตนเองเป็นกระเทยจริง จึงเป็นลักษณะถูกคนอื่นกระตุ้นให้เกิดการย้ำคิดย้ำความรู้สึก จนกลายเป็นความไม่แน่ใจสงสัยในตัวเอง ถึงขั้นขาดความเชื่อมั่นในด้านเอาลักษณ์บทบาททางเพศมากขึ้นกันได้

3) ระบบการศึกษาของโรงเรียน โรงเรียนที่มีแต่นักเรียนชายล้วนจะเกิดโอกาสให้เด็กชายที่อ่อนแอถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเป็นผู้หญิงมากกว่าโรงเรียนที่เป็นสหศึกษา เพราะในแง่จิตวิทยานั้นอธิบายได้ว่า เมื่อคนสองคนต้องมาอยู่ร่วมกัน คนหนึ่งพยายามทำตัวเป็นผู้นำและอีกคนหนึ่งก็ต้องทำตัวเป็นผู้ตามอย่างจำเป็น ...ในโรงเรียนชายล้วนเด็กชายที่สุภาพอ่อนโยนหรืออ่อนแอกว่า โดยเฉพาะยิ่งมีหน้าตาละเมียดลมัยไปทางผู้หญิงด้วยแล้ว ก็อาจต้องทำท่าทำทางเป็นลักษณะผู้หญิงกันไปต้องทำตัวเองเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่าเพื่อให้เพื่อนชายที่แข็งแรงกว่าเป็นฝ่ายปกป้อง เมื่อยิ่งถูกล้อเลียนหรือถูกชมเชยก็ยิ่งอาจเกิดความพึงพอใจในบทบาทนี้มากขึ้นก็ได้ แต่ในโรงเรียนสหศึกษานั้นมีนักเรียนหญิงซึ่งแสดงตัวเป็นฝ่ายเรียบร้อย อ่อนแอให้อยู่แล้ว ก็จะผลักดันให้เด็กชายที่อ่อนแอทั้งทางใจและทางกายต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นหรือต้องทำตัวให้เป็นผู้ชายกันมากขึ้นถ้าไม่อยากให้ผู้หญิงเธอล้อเลียนหรือปรามาสว่าอ่อนแอกว่า

4) ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน ถ้าเด็กชายที่มีแนวโน้มคล้ายเป็นผู้หญิงตั้งแต่อยู่ที่บ้าน เมื่อเข้าโรงเรียนก็มักอยากจะอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ถ้าเด็กหญิงยอมรับเข้าอยู่ในกลุ่มผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กชายคนนี้ถูกปฏิเสธหรือมักถูกรังแกจากกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกันเป็นลักษณะถูกซ้ำเติมให้เกิดเกรงกลัวผู้ชายกันมากขึ้นไปอีก เมื่อกิจกรรมอะไรบางอย่างที่โรงเรียนให้ทำก็เลยมักชอบทำร่วมกับผู้หญิงกันมากกว่า นานเข้า ก็จะยิ่งมีนิสัยผู้หญิงกันมากขึ้น

5) การจัดกิจกรรมของทางโรงเรียน ครูบางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่อเห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาดี น่ารัก ก็จัดให้เด็กชายนั้นแต่งตัวแสดงเป็นบทผู้หญิง เมื่อมีการจัดการแสดงละครหรือการแสดงต่างๆบนเวทีกัน โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีผู้ชายล้วน บางแห่งถึงกับมีการจัดประกวดเทพีชายประเภทสอง เทพีจำแลงกัน หรือให้แต่งตัวเป็นผู้หญิงเพื่อเป็นเชียร์ลีดเดอร์หรือเป็นคนเด่นคนดังกันต่างๆ เป็นต้น เด็กชายซึ่งไม่ค่อยได้รับความสนใจเมื่อปฏิบัติตัวเป็นผู้ชาย แต่เมื่อปฏิบัติตัวหรือแสดงกิริยาท่าทางเป็นผู้หญิงกับมีแต่คนสนใจชื่นชม ก็อาจเกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกตัวเองมีคุณค่า เป็นความรู้สึกเด่น เลยเริ่มออกแสดงตัวอย่างโจ่งครึ่มกันสะบัดก้นกันไปเลย สุดท้ายก็ติดเป็นนิสัย ก็ไม่อยากเป็นผู้ชายหรือแสดงท่าทางเป็นผู้ชายอีกต่อไป

6) การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียน โรงเรียนหลายโรงเรียนก็มีบางหลักสูตรที่บังคับให้เด็กชายต้องเรียนเย็บปักถักร้อยหรือกิจกรรมซึ่งในสังคมไทยยังถือว่าเป็นบทบาทของผู้หญิงกันอยู่ เมื่อเด็กชายที่มีแนวโน้มอยากเลียนแบบเหมือนแม่ตั้งแต่อยุ่ที่บ้านกันแล้วได้มีโอกาสเรียนแล้วยิ่งเกิดความรู้สึกชอบพอใจเกิดเป็นความถนัดและภาคภูมิใจ ก็อาจยิ่งเกิดความสับสนใจเอกลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น รวมทั้งด้านการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละเพศพึงกระทำกัน เป็นต้น

7) การอยู่ในกลุ่มที่มีแนวโน้มเป็นรักร่วมเพศด้วยกัน เพราะการที่ไม่สามารถเข้าอยู่ในกลุ่มผู้ชายที่คอยปฏิเสธคอยแต่รังแกเขาได้ ก็เลยต้องไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิงหรือไม่ก็ไปจับกลุ่มกับคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายกัน เลยยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเบี่ยงเบนทางเพศกันได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาการของการคล้อยตามกลุ่มเพื่อนอยู่แล้ว .. บุคลิกภาพของเด็กในช่วงนี้จึงขึ้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมด้วยกัน เมื่อมารวมกลุ่มกันเป็นลักษณะของกลุ่มสังคมย่อยที่แปลกออกไปความสนุกสนานก็ยิ่งเกิดมากขึ้นกลายเป็นจุดเด่นกันไป การแสดงตัวกันแปลกๆ แบบผิดเพศแปลกกว่าคนอื่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นก็จะยิ่งกระทำกันอย่างเปิดเผยกันมากขึ้น


ทางสังคม


1) แบบอย่างเพศที่สามผ่านทางด้านสื่อมวลชน คือ เมื่อคนแสดงเป็นผู้ชายแต่แสดงท่าแสดงทางดัดจริตเหมือนผู้หญิง โดยเฉพาะการแสดงลักษณะนี้ทางโทรทัศน์ ทางภาพยนตร์ บนเวทีการแสดง หรือเป็นรูปภาพในนิตยสาร หนังสือต่างๆ ซึ่งก็มักต้องการทำให้คนรู้สึกชอบอกชอบใจสนุกสนานอยู่แล้ว จึงกลายเป็นการสร้างความสนใจประทับใจให้แก่พวกเขาไปในทางลักษณะเด่นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ .. เด็กชายที่ขาดแบบอย่างผู้ชายจากผู้เป็นบิดาที่บ้านและผู้เป็นครูผู้ชายที่โรงเรียนมาก่อน ก็อาจเลือกแบบคนแสดงชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งขึ้นมาเป็นแบบอย่างของตนเองกัน เพราะความที่มีแนวโน้มอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะถ้าคนแสดงนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีคนชื่นชมมากและประสบความสำเร็จในชีวิตด้านการงานที่เขาทำอยู่ เช่น เป็นคนแสดงเก่งร้องเพลงเก่ง พูดเก่ง หรือเป็นคนมีความสามารถเฉพาะทางใดทางหนึ่งเก่ง .. เด็กก็ยิ่งเกิดการจำแบบอย่างได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังแสวงหาเอกลักษณ์ตัวเองทั้งทางด้านอาชีพการงานและการดำเนินชีวิตส่วนตัวกันอยู่ เป็นลักษณะเดินตามรอยคนเด่น นั่นเอง .. และยิ่งถ้าเป็นคนที่เป็นอยู่แล้วต้องการเปิดเผยแสดงตัวเองเพื่อหาคนอื่นเป็นแนวร่วมกันมากขึ้น จึงยิ่งต้องพยายามสร้างพฤติกรรมให้เด่นเป็นลักษณะเฉพาะของคนประเภทนี้กันไป เพื่อต่อต้านสังคมที่ประณามพวกเขาว่ามีพฤติกรรเบี่ยงเบนหรือผิดปกติ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกรังเกียจหรือถูกปฏิเสธกันอีก พฤติกรรมรักร่วมเพศก็จะระบาดเร็วและมากยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องไปคอยคุมพฤติกรรมที่คนอื่นในสังคมต้องการกันอีก

2) เกิดประสบการณ์รักร่วมเพศกันมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วอาจเป็นเพียงแค่เปิดอวัยวะเพศให้ดูกันหรือสำเร็จความใคร่ให้กัน เพราะวุฒิภาวะทางอารมณ์ด้านเพศของเด็กเหล่านี้มักจะเร็วและมีมากกว่เด็กทั่วไป จึงอยากรู้อยากลองเรื่องเพศตั้งแต่ยังเด็ก ก็เลยอาจเกิดความพึงพอใจติดใจขึ้นมาได้ เมื่อได้ลองกับเพื่อนเพศเดียวกัน .. เพราะเรื่องเพศนั้นเปรียบเหมือนสิ่งเสพติด ลองได้ลองแล้วก็มักติดตาติดใจ อยากทำอีก หรืออาจเพราะเกิดจากถูกผู้ใหญ่กระทำการรักร่วมเพศ โดยให้ทั้งความอบอุ่น หรือสิ่งของที่ถูกใจต่างๆ ที่เด็กอยากได้ เมื่อเกิดได้บ่อยๆ เด็กก็อาจเกิดความรู้สึกฝังใจ เพราะเกิดความรู้สึกสุขทั้งด้านจิตใจที่ได้รับความสนใจ และวัตถุสิ่งของที่ตนอยากได้ .. การรักร่วมเพศเลยกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นเร้าใจขึ้นมาโดยไม่ต้องคอยไปควบคุมอะไรกันอีก

3) เกิดจากค่านิยมทางสังคมที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ค่านิยมที่เชื่อว่าการเป็นผู้ชายนั้นต้องเป็นคนแข็งแกร่ง แข็งแรง ต้องชอบเล่นกีฬา พูดจาโผงผาง หยาบคาย ก้าวร้าว เกเร ต้องชกต่อยกัน เล่นกันเจ็บๆ จนถึงขั้นต้องสูบบุหรี่ กินเหล้าเที่ยวผู้หญิงเป็น .. ถ้าเด็กชายคนนั้นมีเอกลักษณ์สับสนอยู่แล้ว และไม่รู้สึกอยากเป็นคนที่มีลักษณะนัสัยดังกล่าวนี้ได้ เลยยิ่งเกิดสับสนได้ว่าตนเองคนเป็นผู้หญิงมากกกว่า เพราะนิสัยตัวเองนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนสำรวมเรียบร้อย อาจเป็นคนไม่ชอบเล่นกีฬาหรือความรุ่นแรงต่างๆ อ่อนแอเหมือนผู้หญิงทั่วไป จึงอาจเกิดอาการย้ำคิดสับสนอยู่ในใจ เมื่อเกิดถูกเพื่อนเพศเดียวกันกระตุ้นอารมณ์ทางเพศขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือพวกที่มีนิสัยลักษณะคล้ายกันชวนเข้าเป็นกลุ่มก็เลยฝังใจเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาได้

4) เกิดจากการเปลี่ยนบทบาทของผู้หญิงในสังคมปัจจุบัน ในปัจจุบันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะกล้าแสดงออกกันมากขึ้น ทั้งการพูดจาและการวางตัวโดยเฉพาะเวลาอยู่กับผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่เป็นลักษณะขี้อายอ่อนแอเป็นฝ่ายรับกันอย่างเดียวเหมือนผู้หญิงสมัยก่อน ผู้ชายที่มีเอกลักษณะไม่ดีขาดความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่แล้ว ก็จะยิ่งเกิดความไม่เชื่อมั่นในบทบาทความเป็นชายมากขึ้นไปอีก .. เมื่อเกิดมีผู้ชายอื่นมากระตุ้นเป็นฝ่ายรุก ตัวเองเป็นฝ่ายรับแล้วรู้สึกสบายใจกว่าการต้องทำตัวเป็นฝ่ายรุกผู้เป็นหญิง ก็อาจเกิดความพอใจที่จะเป็นฝ่ายรองรับต่อไปได้ โดยเฉพาะผู้หญิงไม่น้อยในสมัยนี้ที่หาความสวยไม่ค่อยพบแล้ว ยังทำตัวอย่างไม่มีความน่ารักกันอีกด้วย ..ผู้ชายที่มีเอกลักษณ์สับสนอยู่แล้วเลยยิ่งหมดอารมณ์ทางเพศกัน ในขณะเดียวกันผู้ชายสมัยนี้กลับแต่งหน้าแต่งตัวอย่างยั่วยวนกันมากขึ้น เกย์ก็เลยเพิ่มทวีกันดั่งที่เห็น

5) เกิดจากระบบสังคม-เศรษฐกิจ สังคมไทยในปัจจุบันเป็นลักษณะกึ่งทุนนิยม เรื่องรักร่วมเพศก็เลยกลายเป็นธุรกิจการค้าชนิดหนึ่งกันแล้ว จึงมีการผลิตหนังสือทั้งด้านการเขียน และรูปภาพการแสดงบนเวที การแสดงทางโทรทัศน์ วีซีดี และในภาพยนตร์ด้านรักร่วมเพศกันมากขึ้น ตลอดจนสถานที่บันเทิงมากมายที่ต้องการสร้างความเร้าใจการบริการพิเศษให้แก่ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นรักร่วมเพศ เช่น บาร์เกย์ คอกเทลเลานจ์ เธค ผับ ซาวด์น่า หรือสถานที่บริหารกายให้แก่กลุ่มนี้โดยเฉพาะกัน เป็นต้น .. เมื่อสังคมเปิดโอกาสให้คนรักร่วมเพศได้เปิดเผยตัว กล้าแสดงตัวกันมากขึ้น ไม่ต้องมีความรู้สึกละอายใจหรือต้องคอยปกปิดควบคุมตัวเองอะไรกันอีก แนวโน้มที่จะเป็นรักร่วมเพศอยู่แล้วก็เลยเป็นกันเต็มตัวกัน ได้เลย

6) เกิดจากผลของลัทธิต้องการเป็นคนเด่น ในสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่ต้องมีชีวิตอยู่ในโลกของการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน บางคนก็มุ่งไปเรียนเก่ง บ้างก็มุ่งไปเก่งด้านกีฬาหรือด้านการคบเพื่อน ด้านกิจกรรม ด้านตรี หรือด้านอื่นๆมากมาย ..พวกที่มีแนวโน้มจะเป็นรักร่วมเพศ เมื่อเลือกเก่งที่สังคมยอมรับกันไม่ค่อยได้ ก็จึงมุ่งไปสู่การทำงาน การแสดงตัวกระชดกระช้อย การเอาอกเอาใจคนอื่นเก่ง หรือการทำอะไรแปลกๆ ในลักษณะเป็นชายจริงก็ไม่ใช่หญิงแท้ก็ไม่เชิง หรือการกระทำอะไรก็ได้ แล้วสามารถชนะใจคนอื่นกันได้หรือเป็นที่สนใจจากผู้อื่นจนเป็นคนเด่นกันได้ในสังคม ก็จะยิ่งเกิดความพอใจในบทบาทนี้กันมากขึ้น เช่น การแต่งหน้าแต่งตัว การแสดงละคร การแสดงลิปซิง การแสดงเป็นตลกขบขัน การพูดจาเหน็บแนมคนเก่ง หรือการเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู เป็นต้น .. แสดงตัวบ่อยๆเข้าเพราะคนทั่วไปก็ไปให้ความสนใจโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถึงผลที่จะตามมา ก็เลยติดเป็นนิสัย ไม่นึกอยากกลับไปเป็นผู้ชายที่ธรรมดาๆใครๆก็เป็นกันได้อีก ซึ่งก็ไม่มีทั้งความแปลกแหวกแนว และก็ไม่มีอะไรเด่นดังเป็นพิเศษว่าคนทั่วไปนั่นเอง เรียกว่าสมัยนี้ถ้าไม่มีอะไรเด่นดังแล้ว ก็รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่าที่จะอยู่ต่อไปกันทำไมอีก ก็เลยเล่นจำอวดกันคนละทิศละทางกันไป บ้างจึงแต่งตัวกันแปลกๆบ้างก็กระทำอะไรกันพิศดารวิตถาร หรือ ฯลฯ ต่างๆ เพื่อเพียงให้คนตามมาดู หรือ ได้เป็นข่าว ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือได้ปรากฎตัวทางโทรทัศน์ บนเวทีกัน เป็นต้น .. คนรักร่วมเพศจึงเป็นผลพวงของลัทธิยกคนเด่นที่เรากำลังถูกล้างสมองกันอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ .

          ที่มา : http://www.reocities.com/Area51/jupiter/6217/22docter.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น