วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เกย์ - ตุ๊ด ในแง่จิตวิทยา


          ถ้าถามว่า ทำไมการรักร่วมเพศจึงถูกเรียกว่าเป็น"ปัญหา" คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะเมื่อก่อนคนทั่วไปในสังคมต่างก็ไม่ยอมรับพฤติกรรมแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร และคนที่เป็นเองก็ยังมีความคิดรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นปมด้อยที่ตัวเองต้องเป็นอย่างนี้ รวมทั้งศาสนาทุกศาสนาหรือลัทธิความเชื่อแทบทุกลัทธิต่างก็ระบุพฤติกรรมลักษณะนี้ไว้ว่าเป็น ความผิดปกติ ถือว่า เป็นบาป หรือเป็นผลกรรมที่ติดตัวมา

          ในทางแพทย์หรือจิตเวชสากล แต่ก่อนก็จัดบุคคลที่กระทำรักร่วมเพศอยู่ในหมวดของโรคประสาทบุคลิกภาพแปรปรวนกัน ถือเป็นโรคที่ค่อนข้างจะร้ายแรงประเภทหนึ่ง แต่ปัจจุบันกลับถือว่า "เป็นความเบี่ยงเบนทางเพศ" เท่านั้น ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่อย่างใดอีกแล้ว เรียกว่า รสนิยมทางเพศ ต่างกับคนทั่วไป ก็เท่านั้นเอง

          แต่ที่ยังเป้นปัญหารุนแรงอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ก็เพราะ ผู้ที่เป็น พ่อ-แม่ของคนที่เป็นนั้นยังยอมรับกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะถือ่ามันเป็นสิ่งผิดปกติเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าและที่ร้ายที่สุดคือ ทำให้ไม่มีการต่อตระกูลกันอีก แต่ลูกที่เป็นนั้นไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรหรือเดือดร้อนใคร หรือว่ามันเรื่องอะไรที่ต้องไปทำตามคนอื่นเขา ในเมื่อตัวเราเองเกิดมาแล้วมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ก็จะเป็นตัวของตัวเองอย่างนี้แหละ !

          จริงแล้ว ไม่มีมีใครที่อยากจะเกิดมาเป็นคนรักร่วมเพศ และก็ไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกนี้ที่จะภาวนาอยากมีลูกออกมาเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด

          เรื่องของรักร่วมเพศนั้นมิใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หรือเพียงแค่ในประเทศบางประเทศเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานก่อนที่จะมีการบันทึกเป็นประวัติศาสตร์กันเสียอีก และในพฤติกรรมของรักร่วมเพศนี้ก็ยังสามารถแยกแยะความต่างกันของอาการตัวมันเองได้ไม่น้อยกว่าร้อยลักษณะอย่างอาการ เรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญการรักษาอาการหรือพฤติกรรมนี้ก็ยัง มึน เลย

          คำว่า รักร่วมเพศ นั้นเป็นศัพท์ทางวิชาการ ซึ่งแปลมาจาก Homosexual หมายถึง บุคคลที่มีความรู้สึกทางเพศ และมีพฤติกรรมที่ต้องการมีสัมพันธ์ทางเพศกับบุคคลที่เป็นเพศเดียวกัน อาจเป็นเพศชายต่อเพศชาย หรือเพศหญิงต่อเพศหญิงก็ได้ แต่คนไทยชอบเรียกสั้นๆว่า โฮโม

          ต่อมาคำว่า โฮโม กลับกลายเป็นคำที่ใช้เรียกเฉพาะผู้ที่เป็นเพศชายที่เป็นรักร่วมเพศกันเท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่า เพราะคนที่รักร่วมเพศส่วนใหญ่มัาเป็นกัผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 - 6 เท่าตัว

          ส่วนชาวบ้านทั่วไปไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติมักไม่ชอบเรียกอะไรตามทางการเขาอยู่แล้ว ก็เลยเรียกว่าพวก กระเทย ซึ่งเป็นการเรียกแบบเชิงรังเกียจเหยียดหยาม หรือพวกฝรั่งเรียกศัพท์แสลงว่า half and half ที่แปลว่า ครึ่ง ครึ่ง คือ ครึ่งชายครึ่งหญิ่ง ไม่เต็ม ไม่สมบูรณ์ เป็นต้น


          เกย์คิงย์ และเกย์ จึงมักไม่แสดงตัวออกท่าทางกระตุ้งกระติ้งหรือการแต่งตัวที่ค่อนไปทางผู้หญิง รวมทั้งมักไม่เปิดเผยความรู้สึกรักร่วมเพศให้คนทั่วไปได้รับรู้ ชาวบ้านจึงมักดูกันไม่ค่อยออกนึกกันไม่ค่อยถึง เพราะลักษณะท่าทางทั่วไปภายนอกของเกย์นั้นก็คือผู้ชายธรรมดาๆนี่เอง อาจแต่งตัวฉูดฉาดกว่า ทันสมัยกว่าหรือเรียบร้อยกว่า ก็เท่านั้นเอง และเกือบครึ่งหนึ่งของเกย์คิงก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิงกันได้ แต่งงานมีครอบครัวกันได้ แต่ส่วนลึกของความรู้สึกภายในนั้นยังรักชอบเพศเดียวกันมากกว่า เพียงแต่มีเคล็ดลับเฉพาะในการสามารถร่วมเพศกับผู้หญิงทั้งที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ได้เท่านั้น ก็เลยรอดพ้นจากการถูกสงสัย นอกจากพวกเกย์ด้วยกันเท่านั้นที่มองหน้ากันก็พอดูกันออกรู้กันเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะพวกเขามีญาณพิเศษหรือประสาทที่6 ที่สามารถรับรู้กันได้ตามที่ยังเข้าใจผิดๆ ในหมู่เกย์นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะพวกเขาสามารถสังเกตุพฤติกรรมปลีกย่อยต่างๆที่แสดงออกถึงความต้องการจะหาคนแปลกหน้าแต่ใจเหมือนกันไปเป็นเพื่อนคู่นอนซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ..และมักไม่ค่อยพลาด เพราะคนที่ไม่เป็นเกย์นั้นก็มักมัวแต่มองหน้ามองตาผู้หญิงแทนการมองหน้าสบตากับผู้ชายด้วยกันเอง นั่นเอง


          ตุ๊ต จึงจัดอยู่ในพวก เกย์ควีน เพียงแต่แสดงตัวเปิดเผยแจ่มแจ้งว่าเหมือนพวกลักเพศ บทบาทพฤติกรรมทางเพศ จึงเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ และไม่สามารถหรือแม้แต่จะลองคิดพยายามร่วมเพศกับผู้หญิงกันสักครั้ง

          แปลกอย่างหนึ่ง พวกเกย์มักไม่ชอบหรือทนดูแทบไม่ได้ต่อพฤติกรรมของพวกตุ๊ดมากกว่าผู้ที่เป็นชายจริงหญิงแท้เสียอีก


สาเหตุของรักร่วมเพศ : โดยทั่วไปมนุษย์เรานั้นเกิดมาก็มีความรู้สึกนึกคิดตอลดจนเรื่องอารมณ์ทางเพศเป็นพื้นฐานของความต้องการทางร่างกายและด้านจิตใจอยู่แล้วทุกคน ต่างกันก็ตรงที่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่า หรือรู้เร็วรู้ช้ากว่า หรือถูกกระตุ้นได้ง่ายกว่ายากกว่ากันเท่านั้น และเพราะอารมณ์ทางเพศนั้นเกิดมาจากระบวนการทางสรีรกาย การระบายอารมณ์ทางเพศจึงเป็นความต้องการของร่างกายเหมือนกับความต้องการอาหาร น้ำดื่ม หรือความอบอุ่น ความปลอดภัย มิใช่เรื่องราวของความต้องการทางด้านจิตใจหรือทางด้านสังคมแต่อย่างไร เพียงแต่เรื่องเพศนั้นมันเหมือนสิ่งเสพติดชนิดหนึ่ง คือ เมื่อได้เสพแล้วก็มักเกิดติดได้ที่เรียกว่า ติดใจ ก็เลยกลายเป็นเรื่องของติดใจไป



          เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น เป็นลักษณะคล้ายกับการมีอามรณ์ทางเพศเป็นทุกเดิมอยู่แล้ว เมื่อถูกสิ่งเร้าใดกระตุ้นขึ้นมา อารมณ์นั้นก็เลยเริ่มเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นนั้น เช่น เกิดมาเป็นรูปร่างชาย แต่ถูกผู้ชายอื่นมากระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้เกิดบ่อยๆจนเป็นภาวะประทับสัมพันธ์กับความรู้สึกนึกคิดและกระบวนการสรีรกายที่แปรรูปออกมาเป็นการกระทำในสถานการณ์นั้นพอดี

          ต่อมาเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นก็เริ่มเกิดความนึกคิด ความรู้สึกและอยากกระทำกับเพศเดียวกันอีก ดังที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว นั่นเอง ถ้าไม่มีสิ่งใดมาปะทะให้เกิดการวางเงื่อนไขกลับ หรือการเรียนรู้ใหม่กับ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากภาวะเงื่อนไขนี้ก็จะค่อยๆเพาะเป็นนิสัยติดตัวจนกลายเป็นคนรักร่วมเพศกันไปในที่สุด


          ที่มา : http://www.reocities.com/Area51/jupiter/6217/22docter.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น